
แมวผี เนโกมาตะ แมวสองหางจากตำนานญี่ปุ่น
- J. Kanji
- 48 views
แมวผี เนโกมาตะ คือหนึ่งในโยไค ที่ถูกพูดถึงอย่างมาก ในตำนานญี่ปุ่น โดยมันมีรูปลักษณ์ เป็นแมวสองหาง ที่แฝงไว้ด้วยความลึกลับ ใต้ขนปุกปุยนุ่มๆ เชื่อกันว่า เมื่อแมวมีอายุมากขึ้น มันอาจกลายร่าง เป็นเนโกมาตะได้ ตำนานของเนโกมาตะ จะมีที่มาอย่างไร มาไขข้อข้องใจไปด้วยกัน
คำว่า “เนโกมาตะ” แปลตรงตัวว่า “แมวที่มีแฉก” หรือ “แมวที่มีหางแยก” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโยไค ที่มีชื่อเสียงที่สุด ในหมู่แมวผี ตามความเชื่อ เนโกมาตะคือแมว ที่มีอายุยืน จนพลังเหนือธรรมชาติตื่นขึ้น หางของมัน จะแยกออกเป็นสอง และเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น เดินสองขา พูดได้ หรือแปลงร่างเป็นมนุษย์
แม้จะดูเหนือจริง แต่แนวคิดนี้ สะท้อนความเชื่อพื้นฐาน ของมนุษย์ว่า สิ่งใดที่เก่าแก่ หรือถูกเก็บไว้นาน จนเกินพอดี มักซ่อนพลังบางอย่าง เอาไว้ภายใน คล้ายกับที่ตำนาน หมึกยักษ์ คราเคน ในนอร์ส เล่าถึงสัตว์ทะเลยักษ์ ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้มหาสมุทรลึก รอวันปรากฏตัวขึ้นมา ทำลายเรือ และคร่าชีวิตมนุษย์
เช่นเดียวกับเนโกมาตะ ที่เปลี่ยนจากแมวธรรมดาเป็น “แมวผี” เมื่อเวลาผ่านไป และความมืดในใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้น [1]
ตำนานญี่ปุ่น แบ่งเนโกมาตะออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ซึ่งแตกต่างกัน ทั้งที่มา และลักษณะนิสัย คือ
ทั้งสองแบบมีจุดร่วมกันคือ “ความเจ็บปวด หรือการถูกละเลย” จนกลายเป็นพลังด้านมืด ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยว่า สัตว์ที่เราเลี้ยงก็มีความรู้สึก และอาจเปลี่ยนไปได้ หากไม่ได้รับความเมตตา
เมื่อแมวกลายเป็นเนโกมาตะ มันจะได้รับพลังลึกลับหลายอย่าง ที่ไม่ใช่แค่การแปลงร่าง นั่นก็คือ
พลังเหล่านี้ บ่งบอกว่าเนโกมาตะ ไม่ใช่แค่ปีศาจ ที่ไล่หลอกหลอน แต่ยังเป็น “ตัวแทนของความรู้สึกเจ็บลึก ที่ไม่มีทางระบายออก” ซึ่งหากถูกกระตุ้น ด้วยความเกลียดชัง ก็จะกลายเป็น สิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริง [2]
เรื่องมีอยู่ว่า ณ เมืองชนบทอันเงียบสงบ ในแคว้นหนึ่งของญี่ปุ่น เจ้าชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ ได้ตกหลุมรักเกอิชา หญิงงามผู้แสดงศิลปะ การร่ายรำได้งดงาม ราวกับเทพธิดา ทั้งคู่ลุ่มหลงในกัน และกันจนกลายเป็นที่พูดถึง ในหมู่ผู้ติดตาม แต่แล้ววันหนึ่ง ร่างกายของเจ้าชาย กลับเริ่มอ่อนแอลงทุกวัน
และเจ็บป่วย โดยไม่ทราบสาเหตุ เพื่อความปลอดภัย เหล่าทหาร ได้ถูกส่งมาคุ้มกันพระองค์ อย่างใกล้ชิด หนึ่งในนั้นคือนายทหาร ผู้เฉลียวฉลาด ซึ่งเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ของเกอิชา คืนหนึ่ง เขาจึงแอบดูพฤติกรรม ของนางเกอิชา และได้เห็นว่าเกอิชา ได้สูบกินเลือด ของเจ้าชายตอนหลับ
และรู้ความจริงว่า แท้จริงแล้วนางคือ ปีศาจเนโกะมาตะ ที่สวมรอยเป็นเกอิชา และศพของเกอิชาตัวจริง ก็ถูกมันฝังไว้ในป่าหลังวัง มานานแล้ว เมื่อเจ้าชายฟื้น และรู้ความจริง ถึงกับคลุ้มคลั่งด้วยความเศร้า และโกรธแค้น สั่งให้ล่าปีศาจแมวตนนั้น เพื่อที่จะไม่ให้มัน ได้พรากชีวิตใครไปอีก [3]
จากอดีตสู่ปัจจุบัน เนโกมาตะกลายเป็น ตัวละครในงานศิลปะญี่ปุ่น หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น
เนโกมาตะจึงเป็นตัวละครที่ “อยู่ได้ในทุกยุค” เพราะมันสะท้อน ทั้งวัฒนธรรม ความกลัว และอารมณ์ของมนุษย์ ได้อย่างซับซ้อน ไม่ว่าจะผ่านการตีความ ในรูปแบบใดก็ตาม
ท้ายที่สุดแล้ว เนโกมาตะไม่ได้เป็นเพียง ตัวร้ายที่น่ากลัว แต่ยังสะท้อนความรู้สึกของ “สิ่งมีชีวิต ที่ไม่มีเสียงในสังคม” ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ผู้หญิง คนชรา หรือกลุ่มคนที่ถูกลืม มันคือภาพแทน ของพลังที่ถูกกดทับ พลังที่รอวันที่จะได้ ระเบิดออกมา ไม่ใช่เพื่อทำร้าย เพียงอย่างเดียว
แต่อาจเป็นการ “เรียกร้องสิ่งที่ควรจะได้รับ ตั้งแต่ต้น” เช่น ความรัก การยอมรับ หรือความเห็นใจ นี่คือสิ่งที่ทำให้เนโกมาตะ กลายเป็นมากกว่าโยไคทั่วไป แต่เป็นภาพสะท้อนของมนุษย์ ในกระจกเงาอีกด้าน
แมวผี เนโกมาตะ ไม่ได้มีแค่ความหลอน แต่มันสื่อถึงพลัง ที่ซ่อนอยู่ในความเจ็บปวด ความสัมพันธ์ ระหว่างคนกับสัตว์ และผลลัพธ์ของการไร้เยื่อใย ในที่สุด เนโกมาตะอาจจะ ไม่ได้เป็นแค่ปีศาจ แต่มันคือเงาสะท้อน ของความสัมพันธ์ที่พังทลาย และเสียงของสิ่งมีชีวิต ที่อยากจะถูกเข้าใจ
แมวจริงๆ ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ แบบในตำนาน จึงไม่สามารถ กลายเป็นเนโกมาตะได้ แต่เรื่องเนโกมาตะ คือการใช้แมว เป็นสัญลักษณ์ ของพลัง ความรู้สึก และผลของการกระทำ ของมนุษย์มากกว่า จึงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดตำนานของแมว ที่มีพลังลึกลับ
ตามตำนานโบราณของญี่ปุ่น เชื่อกันว่า หากเลี้ยงแมวด้วยความรัก ความใส่ใจ และไม่ทอดทิ้งมัน แมวตัวนั้น จะไม่กลายเป็นเนโกมาตะ หากเจ้าของทอดทิ้ง ทารุณ หรือเมินเฉยต่อแมว ในยามที่มันแก่ เจ็บป่วย หรือเหงา วิญญาณของแมว อาจจะเก็บความแค้นไว้ จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิต เหนือธรรมชาติ